
บทความRSS Feedนี้ จาก Thairath.com
รูปถ่ายปู่เที่ยงบ้านมีดี อาจารย์เที่ยง น่วมมานา 1 ใน 4 จตุรเทพ สุดยอดฆราวาสเมืองไทย ยุคปี 2500 ปรมาจารย์สักยันต์ เจ้าของตำนานวิชา ยันต์บัวแก้ว วังหน้า ยันต์หมูทองแดง ยันต์ครูขนมเปี๊ยะ อันทรงฤทธานุภาพ เกรียงไกรในแผ่นดินสยาม

อาจารย์เที่ยง น่วมมานา เกิดวันที่ 2 เมษายน 2455 บิดาชื่อปู่โม่ มารดาชื่อคุณยายแมว อยู่ย่านชุมชนวัดราชบพิธ เติบโตแถวบ้านขมิ้น (ชุมชนเก่าแก่ใกล้ ร.พ. ศิริราช) มีชีวิตผูกพันกับวัดตั้งแต่เด็ก จึงได้รับการศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทยและขอม จนแตกฉานอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ท่านยังมีความรู้ความชำนาญวิชาช่างไม้เป็นอย่างมาก ปลูกบ้านสร้างบ้านด้วยตัวเองได้ ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญด้านวิชาป้องกันตัว ด้วยความที่อาจารย์เที่ยงผูกพันกับวัดมาตั้งแต่เด็ก จึงซึมซับและสนใจในมนตราพระเวทย์ วิชาอาคม ด้วยเหตุสำคัญอันเกิดจากญาติผู้ใหญ่ที่ชื่อ ปู่ปิ๋ว อดีตสัปเหร่อหลวงวังเทเวศร์มีวิชาอาคม เรียกภูติผีวิญญาณปีศาจ ทำน้ำมันพราย สะกดภูติผีวิญญาณ ของที่ท่านใช้ส่วนใหญ่จะเป็นของคนตาย เช่น เสื้อผ้า เตียง เก้าอี้ เมื่อตอนเด็ก ปู่ปิ๋วเคยพาอาจารย์เที่ยงผู้ผ้าขาวม้ามัดไว้กับตัวท่านแล้วเรียกผีออกจากหลุม แล้วผีนั้นก็ออกมาจากหลุม กลายร่างสูงใหญ่โตเท่ายอดตาล แล้วท่านก็ค่อย ๆ สะกดผีจนตัวค่อย ๆ เล็กลงเท่าเดิมแล้วจึงเอาน้ำมันพรายได้จอกหนึ่ง เมื่อเสร็จพิธี ผีก็ลงหลุมตามเดิม ปู่ปิ๋วลองให้อาจารย์เที่ยงลองยกจอกดู ซึ่งน้ำมันพรายจอกเดียวยกแทบจะไม่ขึ้น จากนั้นปู่ปิ๋วก็สาดน้ำมันพรายทิ้งไป ปู่ปิ๋วต้องการแสดงให้รู้ว่าไสยศาสตร์มีจริง
นอกจากนี้ท่านยังมีความเชี่ยวชาญด้านอักขระเลขยันต์ในตำราพิชัยสงคราม สำเร็จวิชาทำตะกรุดมหารูดตำราพิชัยสงครามถึง 3 อาจารย์ ทั้ง ทอง นาค เงิน ตอนเด็กอาจารย์เที่ยงขอเรียนวิชา แต่ปู่ปิ๋วบอกว่ายังไม่ถึงเวลา เมื่อโตขึ้นท่านจึงไปขอร่ำเรียนวิชาจนหมดสิ้น วิชาส่วนใหญ่ปู่ปิ๋วจะสืบทอดมาจากวังเทเวศร์ ปู่ปิ๋วเมื่อเสียชีวิต เก็บไว้ 7 ปีจึงจะนำไปเผา แต่จุดไฟกี่ครั้งก็ไม่ติด อาจารย์เที่ยงจึงทำพิธีตามที่ปู่ปิ๋วสอนแล้วบอกกล่าวขออนุญาตปู่ปิ๋ว หลังจากนั้นจึงเผาศพได้ปกติ

อาจารย์เที่ยง ท่านเป็นคนชอบแสวงหาความรู้ร่ำเรียนวิชาอาคม ตั้งแต่วัยรุ่น เดินทางร่ำเรียนวิชาไปเรื่อย ๆ เคยออกจากบ้านนานสุดครั้งหนึ่งหลายปีจนคนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว อาจารย์เที่ยงได้ศึกษาวิชาอาคมจากพระเกจิอาจารย์และฆราวาสมากมายเกือบร้อยรายชื่อที่มีการจดบันทึกไว้ ในยุคสมัยก่อนนั้น มีเกจิอาจารย์มากมายที่เก่ง ๆ ทางด้านวิชาอาคม ให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ ก่อนจะฝากตัวกับใคร ท่านจะสังเกตพฤติกรรมของอาจารย์แต่ละท่านก่อน ว่าเก่งจริงไหม มีคุณธรรมไหม การจะไปเรียนวิชานั้นในสมัยก่อนถือว่าคัดคนมาเป็นลูกศิษย์ เคร่งมาก บางอาจารย์ต้องไปทำไร่ไถนาอยู่นานกว่าจะยอมใจอ่อนสอนคาถาอาคมให้
ในสมัยก่อน วัยรุ่นยุคนั้นต้องมีศิลปะป้องกันตัวตามความนิยมของลูกผู้ชาย อาจารย์เที่ยง ท่านจึงพยายามเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เก่ง ๆ ในช่วงราวปี พ.ศ. 2468 (อายุราว 13-16 ปี) จนมาพบกับครูอยู่ เรือลอย ท่านเป็นทหารมหาดเล็ก องครักษ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทั้งยังเป็นคนสนิทติดตามไปทุกหนแห่ง มีความชำนาญด้านศิลปะป้องกันตัว มวยไทย วิชาต่อสู้ กระบี่ กระบอง และเป็นผู้สำเร็จวิชาคาถาขนมเปี๊ยะ อันเข้มขลัง ทรงอานุภาพพุทธคุณด้านคงกระพันเป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าลองของกันได้เลย พอภายหลังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิ้น ครูอยู่ท่านก็ออกจากราชการมาใช้ชีวิตอยู่บนเรือ เหตุที่ท่านอยู่บนเรือ เพราะท่านเป็นคนร้อนวิชา แม้แต่ลูกศิษย์ท่านเองก็ไม่รอดที่จะโดนลองวิชาอยู่บ่อย ๆ แต่ครูอยู่ท่านมีความเมตตาอาจารย์เที่ยงจึงสอนทุกอย่างให้อาจารย์เที่ยง
ต่อมาในช่วงอายุ 17 ปี อาจารย์เที่ยงได้มาพบกับครูชิดศิษย์ สังวราชุ่ม วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) ผู้สำเร็จด้วยจิต สำเร็จเจโตปริยญาณ หยั่งรู้ล่วงหน้า หยั่งรู้ใจคน ย่นระยะทาง เดินไม่เปียกฝน สามารถกำหนดจิตให้แสดงฤทธิ์ได้ (อาจารย์ท่านนี้คือ อาจารย์องค์สำคัญประจำสำนักบ้านมีดี) ท่านมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านอาจารย์เที่ยงและวัดสุวรรณนาราม อาจารย์เที่ยงก็ได้ดูแลจนสิ้นลมหายใจสุดท้าย
ในกาลต่อมา ท่านได้มาพบกับครูแฉ่ง อดีตแม่ทัพ และผู้สืบทอดพุทธาคมมนตราพระเวทย์ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า พระยาเสือ) ในภายหลังยกเลิกวังหน้า ครูแฉ่งจึงกลับมาอยู่ตามวิถีชีวิตตนเอง สำเร็จวิชายันต์นะ หัวใจ 108 และยันต์เฑาะพิสดารต่าง ๆ ยันต์พระนารายณ์ทรงครุฑ ยันต์พระลักษณ์ทรงหนุมาน ยันต์บัวแก้ว วังหน้า ซึ่งเป็นยันต์เก่าแก่โบราณ ในแต่ละกลีบบัวจะมีความหมายอันเป็นมหามงคลที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ใช้ได้รอบด้าน มีอานุภาพทรงคุณวิเศษ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด โชคลาภ คงกระพันฟันแทงไม่เข้า (ใช้สักให้แม่ทัพนายกองทะลวงฟัน) เพราะการสักยันต์นี้ทีต้องขึ้นเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ ยันต์บัวแก้ว วังหน้านี้แหละ ที่เป็นยันต์ที่สร้างชื่อเสียงให้
สำนักบ้านมีดี นับว่าเป็นที่สุดแห่งของยันต์ (ยันต์เอกของสำนัก) ที่สำนักบ้านมีดีได้สืบทอดไว้ ยันต์โบราณเหล่านี้สืบทอดมาตั้งแต่ต้นกรุงศรีอยุธยา โองการเสกน้ำมันกิน โองการเสกน้ำมันทาตัว วิชาอาคมจากตำราพิชัยสงครามเหล่านี้ เป็นวิชาโบราณที่ถูกสืบทอดและเป็นสมบัติของวังหน้า แต่อาจารย์เที่ยงก็ได้ร่ำเรียนมาจนสำเร็จครบ
ในกาลเวลาต่อมา ราวปี 2478 ท่านได้มาพบกับอาจารย์ลี พระแสง เป็นนายฮ้อยใหญ่ภาคอีสาน ผู้เรืองเวทย์วิทยาคม จึงได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์และพบรักกับย่าบุญมี พระแสง มาอาศัยอยู่ที่ย่านมีนบุรี แต่ในยุคนั้นย่านไม่มีใครจะมีชื่อเสียงเกรียงไกรมากไปกว่า หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ท่านเป็นเกจิผู้เรืองเวทย์วิทยาคมที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก อาจารย์เที่ยงจึงไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ เรียนวิชาหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก มีวิชาอาคมมากมายหลายแขนง อาจารย์เที่ยงก็ได้ไปร่ำเรียนวิชาจากท่านมามากมาย โดยเฉพาะยันต์เกราะเพชรของท่านนั้น เลื่องชื่อรือชาเป็นอย่างมาก และท่านก็เมตตาถ่ายทอดวิชาให้แก่อาจารย์เที่ยง
ในกาลต่อมา ได้มาขอฝากตัวเรียนวิชากับครูด้วงวัดเกาะเจ้าของวิชาสักหมูทองแดง ครูด้วงท่านนี้ท่านเป็นครูสักยันต์ ตัวพ่อเที่ยงเองครูด้วงก็ได้สักหมูทองแดงให้หนึ่งตัว ครูด้วงนั้นหนังดีแต่เป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า ท่านชอบดื่มเหล้าจนเมามาย จนวันหนึ่งโดนคนหมั่นไส้ตีจนสลบแล้วจับใส่กระสอบเย็บปากแล้วโยนทิ้งคลองหน้าวัดเกาะพวกที่ทำร้ายคิดว่าอย่างไรก็ต้องตายแน่แล้ว แต่เมื่อเวลาเช้าผ่านมาก็เจอตัวครูด้วงนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ศาลาหน้าวัดเหมือนเดิม
ในช่วงที่อาจารย์เที่ยงรับราชการเวลานั้นเมื่อว่าง ๆ ก็ใช้เวลาว่างทบทวนวิชาที่ได้เล่าเรียนมา จนเมื่อปลดประจำการแล้ว ด้วยความตั้งใจที่ต้องการเรียนพระเวทวิทยาคมให้แตกฉาน
ในเวลาต่อมา ราวต้นปี พ.ศ. 2477 คุณพ่อเที่ยงมีอายุได้ 21 ปี ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมกับคณาจารย์ทั้งพระและอาจารย์ฆราวาสในเขตพระนครและธนบุรีจนพอสมควรแล้ว ในขณะรับราชการเป็นตำรวจเกณฑ์นั้นคุณพ่อเที่ยงได้ยินว่า ในเขตต่างจังหวัดต่าง ๆ รอบนอกพระนครนั้น ยังมีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษทรงความรู้ ในเขตต่างจังหวัดนอกพระนครอีกมาก ท่านจึงอยากเดินทางออกไปแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาความรู้เพิ่มเติมให้วิชาอาคมแก่กล้ามากยิ่งขึ้น
อาจารย์เที่ยงเดินทางไปทั่วภูมิภาคของประเทศไทย เหนือ ใต้ ออก ตก จนถึงตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร พม่า ไปชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี ผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้าไปจนถึงปิล๊อก บ้องตี้ มะละแม่ง เขตพม่า ได้พบอาจารย์หม่อง ได้พบอาจารย์มันดเล ขอเรียนวิชาหมูทองแดง คุณพ่อเที่ยงได้ร่ำเรียนวิชาอาคมจากอาจารย์หม่องและอาจารย์มันดเลมาจนหมดสิ้น และเดินทางกลับเข้ากาญจนบุรีในป่ากาญจนบุรีนี้ได้พบกับอาจารย์เฒ่าเสือขบ ท่านพ่อเที่ยงเล่าว่าเฒ่าเสือขบท่านนี่ ตอนที่ไปพบมีอายุมากแล้วแต่ดูแข็งแรงมีผมยาวอาศัยอยู่กับภรรยาหนึ่งคน มีวิชาเสือสมิง มีวิชาสามารถแปลงกายออกเป็นเสือไปล่าเอาสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร เฒ่าเสือขบจะทำน้ำมนต์ให้เมียเอาไว้ เมื่อแปลงเป็นเสือสมิงไปหาอาหารกลับมาแล้วก็จะให้ เมียก็จะเอาน้ำมนต์ที่เฒ่าเสือขบทำเอาไว้ราดลงบนตัวเสือร่างเสือก็จะกลับกายเป็นเฒ่าเสือขบดั่งเดิม อาจารย์เฒ่าเสือขบนี้เนื้อหนังคงศาสตราเก่งทางวิชาอาบน้ำว่านยา คุณพ่อเที่ยงเคยขอทำพิธีอาบว่านยา อาจารย์เฒ่าเสือขบถามว่าบวชมาหรือยัง คุณพ่อเที่ยงตอบว่ายังไม่ได้บวช อาจารย์เฒ่าเสือขบบอกว่าผู้ที่จะเข้าพิธีอาบน้ำว่านยาต้องเป็นผู้ที่บวชแล้วเท่านั้น คุณพ่อเที่ยงก็เลยไม่ได้อาบน้ำว่านยา (การอาบว่านยามีหลักว่าต้องบอกก่อนล่วงหน้า 1 ปี เพื่อจะได้เตรียมตัวยา ในพิธีอาบว่านยาจะเตรียมมีดโกน กรรไกร ไว้ใช้ตัดหนวดตัดผม หากชุดที่เตรียมไว้หายไปใช้มีดโกนกรรไกรอื่นก็โกนหนวดตัดผมไม่เข้า) เมื่อทำพิธีอาบน้ำว่านยาไม่ได้
ปัจจุบันนี้มีผู้สืบทอดวิชาอาคมจากอาจารย์เที่ยง น่วมมานา คือ อาจารย์บุญธรรม น่วมมานา (อ.ป่อง) เป็นผู้ดูแลสืบทอดเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ซึ่งก็นับว่าเป็นสุดยอดปรมาจารย์สักยันต์ในยุคนี้ ที่มีลูกศิษย์มากที่สุดในประเทศไทย

วันนี้ผมนำรูปถ่ายปู่เที่ยงน่วมมานามาให้ชมครับ มีรอยจารนะนางกวัก และจารยันต์ครู เป็นรูป Original สำนักบ้านมีดี ที่หาชมได้ยากครับ
ชี้ตำหนิ
รูปภาพถ่าย พ่อเที่ยง น่วมมานา บ้านมีดี จำอักขระลายมือพ่อเที่ยง น่วมมานา ให้แม่นทุกจุด แววตามีความคมชัด จำอักขระ


คอลัมน์ : หยิบกล้องส่องพระ by โทน บางแค
Line : @tone8888
เพจ : โทน บางแค FC.
source
ขอขอบคุณบทความและ RssFeedของThairath.com ครับ